เคยรู้สึกมั้ย? ว่าตอนทำงานนาน ๆ หน้าคอม หรือจ้องจอมือถืออยู่ดี ๆ แล้วรู้สึก “เคืองตา แสบตา เหมือนมีอะไรเข้าไปในตา” ทั้งที่ก็ไม่ได้มีฝุ่น ไม่ได้ร้องไห้ และก็ไม่ได้โดนลมแรงอะไรเลย สุดท้ายก็แค่คิดว่า "สงสัยนอนไม่พอ" หรือ "พักสายตานิดหน่อย เดี๋ยวก็ดี" แต่รู้มั้ยว่านั่นอาจเป็นสัญญาณของ “อาการตาแห้ง” ที่หลายคนมองข้าม
อาการ ตาแห้ง คืออะไร?
ตาแห้ง (Dry Eye Syndrome) คือภาวะที่ดวงตาของเรามีน้ำตาหล่อเลี้ยงไม่เพียงพอ หรือคุณภาพของน้ำตาไม่ดีพอที่จะปกป้องและให้ความชุ่มชื้นกับผิวดวงตา พูดง่าย ๆ ก็คือ ดวงตาของเราขาดความชุ่มชื้น และมันจะส่งผลต่อความสบาย ความชัดในการมอง และสุขภาพตาโดยรวม
บางคนอาจคิดว่า “น้ำตามีไว้แค่ตอนร้องไห้” แต่จริง ๆ แล้ว น้ำตามีหน้าที่สำคัญกว่านั้นมากเลยนะ มันช่วยหล่อลื่น ป้องกันการติดเชื้อ ล้างสิ่งสกปรก และช่วยให้เรามองเห็นได้ชัดขึ้นด้วย
อาการที่สังเกตได้ว่าอาจ ตาแห้ง
อาการตาแห้งไม่ได้มาพร้อมเสียงกริ่งเตือน แต่จะค่อย ๆ แสดงอาการออกมาแบบแอบ ๆ เนียน ๆ จนบางทีเราก็ชินไปเอง เช่น:
- แสบตา เคืองตา เหมือนมีเศษฝุ่นติดตลอดเวลา
- ตาพร่า มองไม่ชัด โดยเฉพาะเวลาจ้องจอนาน ๆ
- น้ำตาไหลง่ายเวลาเจอลม หรือแสงจ้า (ใช่แล้ว น้ำตาไหล ก็อาจแปลว่าตาแห้ง!)
- ตาล้าเมื่อใช้สายตานาน ๆ
- ไม่สบายตาเวลาใส่คอนแทคเลนส์
- บางครั้งเหมือนมีอะไรคล้าย ๆ เยื่อเหนียว ๆ ติดอยู่ในตา
หลายคนอาจนั่งจ้องหน้าจอนาน ๆ แบบไม่รู้ตัว โดยเฉพาะคนที่เล่นมือถือเพื่อดูซีรีส์ เล่นเกม หรือแม้แต่ลุ้น หวยไว กับ เว็บหวยออนไลน์ถูกกฎหมาย แบบรัว ๆ ทั้งวันจนลืมกระพริบตาไปเลย พฤติกรรมแบบนี้แหละที่ทำให้ตาเราค่อย ๆ ขาดความชุ่มชื้นแบบไม่ทันรู้ตัว และสุดท้ายก็เสี่ยงตาแห้งโดยไม่รู้สาเหตุ
ถ้าใครมีอาการเหล่านี้บ่อย ๆ อย่าปล่อยผ่านนะ เพราะอาจกลายเป็นปัญหาสุขภาพตาระยะยาวได้เลย
สาเหตุของอาการตาแห้ง
แล้วอะไรเป็นตัวการทำให้ตาเราขาดน้ำตา? มาดูกันว่ามีอะไรบ้าง:
1. ใช้สายตามากเกินไป
โดยเฉพาะจ้องหน้าจอคอม มือถือ หรือทีวีแบบไม่กระพริบตาเลย รู้มั้ยว่าเวลาจ้องจอ เราจะกระพริบตาน้อยลงโดยไม่รู้ตัว ทำให้น้ำตาไม่กระจายทั่วดวงตา
2. อยู่ในที่แห้ง/แอร์แรง
แอร์ในออฟฟิศ หรือที่บ้าน บางทีมันก็แห้งเกินไป จนดูดความชื้นจากตาเราไปหมดแบบไม่รู้ตัว
3. ใส่คอนแทคเลนส์นานเกินไป
คอนแทคเลนส์เปรียบเหมือนฟองน้ำที่ซับน้ำตาไปจากตา ยิ่งใส่นาน ตายิ่งแห้ง
4. อายุที่เพิ่มขึ้น
พอเราอายุมากขึ้น การผลิตน้ำตาก็จะลดลงตามธรรมชาติ โดยเฉพาะในผู้หญิงวัยทอง
5. พฤติกรรมหรือยาบางอย่าง
เช่น การสูบบุหรี่ การใช้ยารักษาโรคภูมิแพ้ หรือยาความดันบางตัว อาจมีผลข้างเคียงทำให้ตาแห้งได้
ถ้าปล่อยไว้ จะเกิดอะไรขึ้น?
บางคนอาจมองว่า “แค่แสบตา เคืองตาเอง ไม่เห็นต้องรักษา” แต่ความจริงแล้ว ถ้าปล่อยให้ตาแห้งเรื้อรัง อาจเกิดปัญหาได้มากกว่าที่คิด เช่น:
- เยื่อบุตาอักเสบ
- ตาแดงเรื้อรัง
- ความชัดในการมองเห็นลดลง
- เสี่ยงติดเชื้อที่ดวงตา
- มีแผลที่กระจกตา (อันนี้อันตรายสุด ๆ)
วิธีดูแลตัวเองเมื่อรู้สึกว่าตาแห้ง
ถ้าเริ่มรู้ตัวแล้วว่า "เฮ้ย! อาจจะเป็นตาแห้งก็ได้นะ" มาดูวิธีง่าย ๆ ที่ช่วยให้ตาชุ่มชื้นมากขึ้นกันดีกว่า:
1. ใช้น้ำตาเทียม
หาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ดวงตา แต่ควรเลือกสูตรที่ไม่มีสารกันเสีย ถ้าใช้บ่อย ๆ
2. พักสายตาเป็นระยะ
ใช้สูตร 20-20-20 คือ ทุก 20 นาที ให้มองออกไปไกล ๆ 20 ฟุต (ประมาณ 6 เมตร) เป็นเวลา 20 วินาที ช่วยให้ตาได้พักผ่อนบ้าง
3. ดื่มน้ำเยอะ ๆ
น้ำไม่ใช่แค่ดีต่อผิว แต่ยังดีต่อตาเราด้วยนะ
4. หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่แห้งเกินไป
ถ้าจำเป็นต้องอยู่ในห้องแอร์ทั้งวัน ลองหาต้นไม้ หรือเครื่องเพิ่มความชื้นในห้องมาเสริมก็ช่วยได้
5. งดขยี้ตา
การขยี้ตาบ่อย ๆ ไม่ได้ช่วยให้หายแสบ แต่มันทำให้ตายิ่งระคายเคือง และเสี่ยงต่อการติดเชื้อเพิ่มขึ้นด้วย
ไปหาหมอเมื่อไหร่ดี?
ถ้าลองดูแลตัวเองมาสักพัก ไม่ว่าจะใช้น้ำตาเทียม พักสายตา หรือปรับพฤติกรรมแล้ว แต่อาการตาแห้งยังไม่ดีขึ้น หรือกลับแย่ลง เช่น รู้สึกแสบตามากขึ้น เคืองตาตลอดเวลา เหมือนมีอะไรบาดอยู่ในตา หรือมีอาการตามัวบ่อย ๆ แบบไม่เกี่ยวกับการนอนน้อย แบบนี้อย่ารอช้า ควรรีบไปพบจักษุแพทย์โดยเร็ว เพราะอาจมีปัญหาที่ลึกกว่าตาแห้งทั่วไป เช่น ภาวะเยื่อบุตาอักเสบ กระจกตาเป็นแผล หรือภาวะที่เกี่ยวข้องกับต่อมไขมันในเปลือกตา
อีกกรณีที่ควรไปหาหมอแน่นอนคือ ถ้าน้ำตาไหลตลอดเวลาแบบผิดปกติ เจอแสงแล้วแสบตารุนแรง หรือใส่คอนแทคเลนส์แล้วรู้สึกไม่สบายตามากกว่าปกติ เพราะอาจเป็นสัญญาณว่ามีปัญหาเรื่องผิวดวงตา หรือการผลิตน้ำตาเริ่มผิดเพี้ยน การตรวจเช็กกับแพทย์จะช่วยวินิจฉัยได้ชัดเจน พร้อมแนวทางรักษาที่ตรงจุด ไม่ต้องทนทรมานไปเรื่อย ๆ และยังช่วยป้องกันโรคตารุนแรงในอนาคตได้อีกด้วยนะ!
เคล็ด(ไม่)ลับการใช้สายตาแบบฉลาด
เราอยู่ในยุคที่ “ตา” ต้องทำงานหนักกว่าสมองอีก เพราะต้องจ้องหน้าจอทุกวันไม่มีวันหยุด ลองใช้เทคนิคเหล่านี้เพื่อให้ดวงตายังสดใสได้นาน ๆ:
- ปรับแสงหน้าจอให้เหมาะ ไม่สว่างเกินหรือลดแสงเกินไป
- ตั้งหน้าจอให้ต่ำกว่าระดับสายตานิดหน่อย เพื่อลดการเปิดตากว้างเกินไป
- ใส่แว่นกรองแสงหรือแว่นถนอมสายตาช่วยลดภาระตา
หลีกเลี่ยงการใช้จอในที่มืด เพราะแสงที่ต่างกันมากจะทำให้ตาล้าเร็วขึ้น
สรุปส่งท้าย
อาการตาแห้ง อาจดูเหมือนเรื่องเล็ก ๆ แต่จริง ๆ แล้วมันส่งผลกับคุณภาพชีวิตแบบเนียน ๆ โดยที่เราไม่ทันรู้ตัวเลย การดูแลดวงตาให้ชุ่มชื้นอยู่เสมอ ไม่ใช่แค่ช่วยให้สบายตา แต่ยังช่วยให้เรามองเห็นโลกได้ชัด สดใส และมีสุขภาพตาดีไปอีกนาน เพราะงั้นอย่ามองข้ามสัญญาณเล็ก ๆ ที่ดวงตาส่งมา รีบใส่ใจตั้งแต่วันนี้ ดีกว่ามารักษาทีหลังตอนมันลุกลามแล้วนะ!